4 คุณสมบัติสำคัญของน้องใหม่ ถ้าทำได้ ยังไงหัวหน้าก็รัก

Chalit Tirachupan
2 min readJun 27, 2022

--

นักรบย่อมมีบาดแผล ฉันใด

พี่ ๆ เมเนเจอร์นั้นไซร้ก็ต้องมีวันวัยแห่งความผิดพลาดมาก่อน ฉันนั้น

กว่าจะก้าวข้ามผ่านเติบโตมาถึงทุกวันนี้ได้ สมัยเป็นนักศึกษาจบใหม่ไฟแรง เริ่มงานด้วยการเป็น Fast Track Program ของบริษัทชื่อดังแห่งหนึ่ง พกความมั่นใจไปเต็มเปี่ยม มั่นใจว่าเราทำได้ดีแน่ ปังแน่

สุดท้ายโดนต่อ Probation ครับ 55555+ (แต่ตอนนั้นฮาไม่ออกนะครับ น้ำตาไหล ร้องไห้เป็นสายเลือด)

จำได้ลาง ๆ ว่าต่อ Pro ไปอีกหนึ่งโปรเจ็ค ประมาณเดือนนิด ๆ จนผ่านมาได้และผลงานถือว่าโอเค ตอนนั้นก็หายเหนื่อย แล้วก็ลืมเรื่องนี้ไปเลย

ผ่านมาก็เกือบ 10 ปี เติบโตมาจนกลายเป็นหัวหน้าที่มีน้อง ๆ ให้ต้องคอยดูแลสารทุกข์สุกดิบแล้ว และที่สำคัญ พบว่าน้อง ๆ หลายคนทำให้เรานึกย้อนในสิ่งที่เราเคยทำ เคยเป็นในอดีตด้วย เลยคิดว่าอาจจะดี ถ้าได้แชร์ความผิดพลาดของตัวเองเป็นวิทยาทานให้น้อง ๆ ที่กำลังเริ่มงาน หรือประสบการณ์ไม่มาก ได้เข้าใจว่าความคาดหวังของพี่ ๆ หัวหน้านั้นมีอะไรบ้าง

ยิ่งในช่วงสภาวะแบบนี้ หางานก็ยาก ได้งานแล้วก็รักษาเก้าอี้ไว้ได้ยากไม่ต่างกัน หวังว่าคำแนะนำพวกนี้จะช่วยให้ทุกคนรักษาหน้าที่การงานไว้ได้อย่างมั่นคงขึ้นนะครับ ;)

1. Communication การสื่อสารคือหัวใจ

ข้อผิดพลาดยิ่งใหญ่ของผมในช่วงเริ่มงาน 3–4 เดือนแรก คือเรื่องการสื่อสารครับ การสื่อสารในที่นี้ไม่ได้หมายถึงว่าต้องพูดเยอะ ๆ ในออฟฟิศ แต่หมายถึงการพูดคุยเพื่อให้สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างเข้าใจและไม่มีข้อสงสัย

ตอนนั้นผมไม่คุยกับพี่ ๆ ทำงานตามที่ได้รับมอบหมายมา ตอบ ครับ ๆ ได้ครับ เอาวันไหนครับ แล้วก็หายเข้ากลีบเมฆไป ไม่มีการสื่อสารระหว่างทาง การดราฟท์ความเข้าใจไปคุยก่อน ทำให้พอเอางานไปส่ง ก็เลยเกิดอาการ “น้องทำงานมาแบบนี้ พี่เหมือนต้องทำใหม่ทั้งหมด” ขึ้นมาครับ ซึ่งนั่นเป็นจุดเริ่มต้นของหายนะเลยล่ะ

การทำงานไม่เหมือนงานสมัยเรียน ที่โปรเจกต์อาจจะแบ่งส่วน แบ่งหน้ากันไปทำได้ แต่การทำงานจริง ๆ มันคือการทำงานร่วมกันระหว่างทีม ระหว่างหัวหน้า-น้อง ระหว่างฝ่าย ระหว่างแผนก แม้ว่าตำแหน่งที่ต้องพูดคุยกับคนน้อยที่สุด ยังไงก็ต้องได้ใช้การสื่อสาร เมื่ออยู่ในโลกของการทำงานครับ

และอีกส่วนสำคัญเรื่องการสื่อสาร คือ การสื่อสารทั้งความคาดหวังของหัวหน้า เป้าหมาย วัตถุประสงค์ของงานทั้งหมด ให้เข้าใจอย่างแท้จริง ถ้าหัวหน้าของเราเป็นหัวหน้าที่ดี เชื่อเลยว่าเค้ายินดีที่จะบอกทุกสิ่งอย่างที่กล่าวมาแน่นอนครับ และจะรู้สึกดีด้วยที่น้องสนใจอยากรู้ว่าทำงานนั้นไปทำไม ส่วนหัวหน้าไหนคนไหนตอบไม่ได้ นี่เป็นโอกาสอันดี ในการ challenge หัวหน้า ว่าสิ่งที่เค้าทำ มันใช่สิ่งที่ควรจะทำจริง ๆ หรือไม่

2. Commitment สัญญาต้องเป็นสัญญา

มีอยู่ 1–2 ครั้งที่ผมถูกถามว่าทำไมไม่ส่งงานตามเวลากำหนด ในใจตอนนั้นคือจริง ๆ ทำเสร็จแล้วครับ แต่เห็นว่าหัวหน้ายังไม่เรียกดู เลยคิดว่าจะทำต่อไปเรื่อย ๆ (มันเป็นงานเชิงความคิดสร้างสรรค์นิดนึง) จนกว่าพี่เค้าจะเรียกดู ค่อยว่ากัน

ตอนนั้นก็เลยตอบไปว่า

“เห็นพี่ยังไม่เรียกดู ก็เลยยังไม่ได้เอาให้ดูครับ”

หายนะอย่างที่ 2 ก็เลยเกิดขึ้น อยากบอกน้อง ๆ ทุกคนว่า ถ้าเรามีการพูดคุยงานเรื่องเวลาในการส่งงานที่กำหนดชัดเจน เราทำได้ 4 กรณีครับ

กรณีที่ 1 ทำงานเสร็จก่อนกำหนด และมั่นใจว่าทำได้ดีที่สุดแล้ว แบบนี้ควรส่งเลยครับ หัวหน้ามีคำถาม หรืออยากให้แก้ก็จะได้แก้ทัน แถมบวกคะแนนความขยันและรับผิดชอบให้แน่นอน

กรณีที่ 2 ทำงานเสร็จตามกำหนด อันนี้เราก็ส่งตามกำหนด อาจจะชวนหัวหน้าคุยต่อว่า ต้องปรับตรงไหนเพิ่มไหมยังไง ยังมีเวลาในการแก้ไหม ถ้าไม่แก้โอเคหรือยัง หัวหน้าแฮปปี้แน่นอน

กรณีที่ 3 ดูจากเวลาแล้วทำเสร็จไม่ทันชัวร์ แต่อาจจะต้องการเวลาเพิ่มอีกนิดนึง กรณีนี้ ****ห้ามส่งเลทแบบนั่งเงียบๆ หรือบอกวินาทีสุดท้ายเด็ดขาด**** สิ่งที่ควรทำคือ บอกหัวหน้าให้ไวที่สุดถ้าเรารู้แล้วว่าจะทำไม่ทัน แล้วบอกว่าต้องการเวลาอีกเท่าไหร่ เพื่อทำให้ทัน หัวหน้าจะไม่เซอร์ไพรส์ และอย่างน้อยก็ยังมีเวลาในการปรับแก้ไข หรือขยับ Timeline ต่าง ๆ ได้

กรณีที่ 4 ทำเสร็จไม่ทันชัวร์ มืดแปดด้าน ดูแล้วไม่รู้เลยว่าทำยังไงจะเสร็จ กรณีนี้เป็นไปได้ว่างานอาจจะไม่ตรงกับความถนัดเรา หรือยากเกินประสบการณ์และความรู้ คุณควรวิ่งไปหาหัวหน้าเพื่อปรึกษา และขอความช่วยเหลือ จำไว้ว่าหัวหน้าที่ดีเค้าจะคอยช่วยคุณ ปัญหายิ่งแก้ไวยิ่งดี และมันจะไม่ดีแน่ ถ้าคุณหมกไว้จนให้หัวหน้ามาถามเองว่า งานที่สั่งเมื่อไหร่จะเสร็จ ทำไมไม่บอกว่าเกิดอะไรขึ้น บอกเลยว่าชะตาคุณอาจจะขาดลงได้ทุกเมื่อครับ

3. Contribution สร้างตัวตนด้วยผลงาน

ข้อนี้อธิบายง่าย แต่ทำได้ค่อนข้างยาก คือการสร้างสิ่งที่ทำให้เพื่อนร่วมงานของคุณคิดว่า

ถ้าเป็นเรื่องนี้ ต้องเป็นเราเท่านั้น…

พออ่านแล้วอาจจะเข้าใจว่าเป็นเรื่องใหญ่ แต่อยากให้ทุกคนลองนึกเช่น

เพื่อนคนไหนตลกที่สุดในกลุ่ม

เพื่อนคนไหนทำงานกลุ่มโคตรเก่ง

เพื่อนคนไหนที่ถ้ามีปัญหาหัวใจแล้วต้องวิ่งไปปรึกษา

เชื่อว่าทุกคนต้องมีหน้าเพื่อนสักคนลอยเข้ามาตอนอ่านทันที ในเรื่องงานก็เช่นกันครับ สิ่งนี้เป็นเหมือนการสร้าง Branding หรือลายเซ็นส่วนตัว ที่ต้องแลกมาด้วยความทุ่มเท อาจจะเริ่มจากเรื่องเล็ก ๆ อย่างตอนผมเริ่มงานแรกที่ฝ่าย Marketing แต่จบทางด้าน Finance มา ทำให้ค่อนข้างจะแม่นเรื่องตัวเลข จนสุดท้ายใครในแผนกมีปัญหาเรื่องจะแบ่งจัดสรรงบยังไงดี สูตร excel ทำไมมันพัง หรือทำไมคำนวณไม่ตรง จะวิ่งมาหาผมเป็นคนแรก สิ่งนี้เป็นเหมือนเรื่องเล็ก ๆ ที่คอยช่วยให้เรามีตัวตนขึ้นมาในที่ทำงานครับ

หลายคนอาจจะนึกสงสัยว่า อ้าว แล้วถ้าในเนื้องานคนมานึกถึงเรา มันจะเป็นการแย่งหน้าแย่งตาหัวหน้าไหม

อยากบอกว่าไม่จริงเลยครับ และตรงกันข้ามด้วยซ้ำ เพราะหัวหน้ามีเรื่องต้องทำมากมายอยู่แล้ว การที่มีเราช่วยเป็นที่ที่คนนึกถึง แทนต้องวิ่งไปหาหัวหน้าหมด นั่นคือสิ่งที่หัวหน้าอยากจะให้คุณมาช่วยครับ และยังเป็นเครดิตหัวหน้าด้วยที่ทำให้คุณเก่งขึ้นขนาดนี้

การที่คุณเติบโต ไว้ใจได้ จนคนรู้สึกว่าวิ่งไปหาได้ เชื่อได้เลยว่าคุณผ่านโปรมาเกินครึ่งตัวแล้ว

และในทางกลับกัน ถ้าคุณทำงานมาสักพักแล้ว แต่ไม่มีงานไหนที่คนจะนึกถึงคุณเป็นคนแรกเลย มันจะต้องมีปัญหาสักอย่างแล้วล่ะครับ

4. Consistency ความสม่ำเสมอ

การทำงานเปรียบเสมือนการวิ่งมาราธอนที่ไม่รู้จบ วนเวียนไปข้ามวัน ข้ามเดือน ข้ามปี มีการสื่อสารใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นทุกวัน มีงานที่ต้องส่งมอบ และปัญหาเฉพาะหน้าใหม่ ๆ เข้ามาให้แก้ไขเสมอ

คุณจะทำยังไงให้หัวหน้าเชื่อมั่น ว่าคุณจะสื่อสารได้อย่างดี คุณจะส่งมอบงานได้ และคุณจะเป็นคนที่ช่วยแบ่งเบาภาระงานของเค้าได้แบบนี้ตลอดไป หรือตราบเท่าที่คุณยังอยู่ในตำแหน่ง

คำตอบคือความสม่ำเสมอนี่แหละครับ มันคือการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ ว่าคุณจะช่วยดูแลรับผิดชอบงานนั้นแทนได้ จนหัวหน้าคุณมีเวลาพอที่จะไปดูและหรือแก้ปัญหาสิ่งอื่นที่ใหญ่กว่า หรือมีผลกระทบที่สูงกว่า

ตอนเรียนคุณอาจจะมีวิชาที่อยากเท ได้ C ก็เอา วิชาไหนอยากเรียนก็ตั้งใจเอา A เอาเกรดมากลบ ๆ กันก็พอจะดูดีขึ้นมาได้

ตอนทำงานต่างกันตรงที่ถ้าคุณได้ A หัวหน้าจะไว้ใจคุณ แต่ถ้าคุณเท C D หรือ F ซักงาน บางครั้ง A อีกสิบตัว คุณก็อาจจะไม่ได้มีโอกาสทำ เพราะการทำงานไม่มีการสะสมแต้มบุญ ทุกสิ่งต้องส่งมอบอย่างดี ไปให้ผู้ร่วมงาน ไม่ว่าคุณจะชอบเนื้องานนั้นหรือไม่ก็ตาม

ถ้าหัวหน้าเริ่มพูดว่า เรื่องนี้พี่เชื่อว่าเราทำได้, เรื่องนี้พี่ฝากดูเลยนะ ติดอะไรมาบอกพี่ แปลว่าคุณเริ่มได้รับความไว้วางใจแล้วครับ แต่บอกเลยว่าถ้ามีเหตุการณ์ไหนที่ทำให้หัวหน้าสูญเสียความมั่นใจในตัวคุณ ส่วนตัวมองว่ายากมากที่จะเรียกความมั่นใจกลับคืนมาครับ

สรุป (TLDR)

ไม่มีใครทำงานเป็นตั้งแต่เกิด ยิ่งน้องจบใหม่ ประสบการณ์น้อย ๆ สิ่งที่พี่ ๆ มองหาไม่ใช่สกิลงานขั้นเทพแน่นอน แต่เป็น 4 ข้อนี้ครับ

  1. Communication การสื่อสารคือหัวใจ สื่อสารไม่ใช่ต้องพูดเก่ง แต่ต้องพูดคุย ทำความเข้าใจทั้งความคาดหวังของหัวหน้า เป้าหมายและวัตถุประสงค์ของงานให้ชัดเจน จนเราสามารถทำงานนั้นได้ตามมอบหมาย
  2. Commitment สัญญาต้องเป็นสัญญา ห้ามส่งงานช้าจากกำหนด ถ้าจะช้าต้องบอกล่วงหน้า บอกปัญหา และจัดการก่อนจะถึงวันกำหนดส่ง
  3. Contribution สร้างตัวตนด้วยผลงาน อย่าทำตัวเป็นแค่ Messenger (ผู้ส่งสาร) เท่านั้น เพิ่มคุณค่าด้วยการใส่ความคิดของเราลงไป รวมทั้งตั้งเป้าว่าถ้านึกถึงเรื่องนี้ ต้องนึกถึงเราเท่านั้น (ในเรื่องงานนะ) และ
  4. Consistency ความสม่ำเสมอ ในการส่งมอบข้อ 1–3 จนหัวหน้าเกิดความไว้วางใจ เพราะงานไม่ใช่เรียน ที่คุณจะเลือกทำแต่สิ่งที่คุณชอบได้

สรุปจากประสบการณ์ส่วนตัวไว้ได้ประมาณนี้ ใครมีอะไรแชร์กันได้นะครับ และถ้านึกอะไรออกจะมาเขียนเล่าอีกนะครับ

ขอบคุณทุกคนที่สละเวลาอ่านจนจบ อยากรู้จักกันมากขึ้น จิ้มมาได้ ที่นี่ ครับผม

--

--

Chalit Tirachupan
Chalit Tirachupan

Written by Chalit Tirachupan

Lead Product Manager @NocNoc, อยากเป็นเป็ดที่เก่งขึ้นทุก ๆ วัน

No responses yet