4 คุณสมบัติสำคัญของน้องใหม่ ถ้าทำได้ ยังไงหัวหน้าก็รัก
นักรบย่อมมีบาดแผล ฉันใด
พี่ ๆ เมเนเจอร์นั้นไซร้ก็ต้องมีวันวัยแห่งความผิดพลาดมาก่อน ฉันนั้น
กว่าจะก้าวข้ามผ่านเติบโตมาถึงทุกวันนี้ได้ สมัยเป็นนักศึกษาจบใหม่ไฟแรง เริ่มงานด้วยการเป็น Fast Track Program ของบริษัทชื่อดังแห่งหนึ่ง พกความมั่นใจไปเต็มเปี่ยม มั่นใจว่าเราทำได้ดีแน่ ปังแน่
สุดท้ายโดนต่อ Probation ครับ 55555+ (แต่ตอนนั้นฮาไม่ออกนะครับ น้ำตาไหล ร้องไห้เป็นสายเลือด)
จำได้ลาง ๆ ว่าต่อ Pro ไปอีกหนึ่งโปรเจ็ค ประมาณเดือนนิด ๆ จนผ่านมาได้และผลงานถือว่าโอเค ตอนนั้นก็หายเหนื่อย แล้วก็ลืมเรื่องนี้ไปเลย
ผ่านมาก็เกือบ 10 ปี เติบโตมาจนกลายเป็นหัวหน้าที่มีน้อง ๆ ให้ต้องคอยดูแลสารทุกข์สุกดิบแล้ว และที่สำคัญ พบว่าน้อง ๆ หลายคนทำให้เรานึกย้อนในสิ่งที่เราเคยทำ เคยเป็นในอดีตด้วย เลยคิดว่าอาจจะดี ถ้าได้แชร์ความผิดพลาดของตัวเองเป็นวิทยาทานให้น้อง ๆ ที่กำลังเริ่มงาน หรือประสบการณ์ไม่มาก ได้เข้าใจว่าความคาดหวังของพี่ ๆ หัวหน้านั้นมีอะไรบ้าง
ยิ่งในช่วงสภาวะแบบนี้ หางานก็ยาก ได้งานแล้วก็รักษาเก้าอี้ไว้ได้ยากไม่ต่างกัน หวังว่าคำแนะนำพวกนี้จะช่วยให้ทุกคนรักษาหน้าที่การงานไว้ได้อย่างมั่นคงขึ้นนะครับ ;)
1. Communication การสื่อสารคือหัวใจ
ข้อผิดพลาดยิ่งใหญ่ของผมในช่วงเริ่มงาน 3–4 เดือนแรก คือเรื่องการสื่อสารครับ การสื่อสารในที่นี้ไม่ได้หมายถึงว่าต้องพูดเยอะ ๆ ในออฟฟิศ แต่หมายถึงการพูดคุยเพื่อให้สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างเข้าใจและไม่มีข้อสงสัย
ตอนนั้นผมไม่คุยกับพี่ ๆ ทำงานตามที่ได้รับมอบหมายมา ตอบ ครับ ๆ ได้ครับ เอาวันไหนครับ แล้วก็หายเข้ากลีบเมฆไป ไม่มีการสื่อสารระหว่างทาง การดราฟท์ความเข้าใจไปคุยก่อน ทำให้พอเอางานไปส่ง ก็เลยเกิดอาการ “น้องทำงานมาแบบนี้ พี่เหมือนต้องทำใหม่ทั้งหมด” ขึ้นมาครับ ซึ่งนั่นเป็นจุดเริ่มต้นของหายนะเลยล่ะ
การทำงานไม่เหมือนงานสมัยเรียน ที่โปรเจกต์อาจจะแบ่งส่วน แบ่งหน้ากันไปทำได้ แต่การทำงานจริง ๆ มันคือการทำงานร่วมกันระหว่างทีม ระหว่างหัวหน้า-น้อง ระหว่างฝ่าย ระหว่างแผนก แม้ว่าตำแหน่งที่ต้องพูดคุยกับคนน้อยที่สุด ยังไงก็ต้องได้ใช้การสื่อสาร เมื่ออยู่ในโลกของการทำงานครับ
และอีกส่วนสำคัญเรื่องการสื่อสาร คือ การสื่อสารทั้งความคาดหวังของหัวหน้า เป้าหมาย วัตถุประสงค์ของงานทั้งหมด ให้เข้าใจอย่างแท้จริง ถ้าหัวหน้าของเราเป็นหัวหน้าที่ดี เชื่อเลยว่าเค้ายินดีที่จะบอกทุกสิ่งอย่างที่กล่าวมาแน่นอนครับ และจะรู้สึกดีด้วยที่น้องสนใจอยากรู้ว่าทำงานนั้นไปทำไม ส่วนหัวหน้าไหนคนไหนตอบไม่ได้ นี่เป็นโอกาสอันดี ในการ challenge หัวหน้า ว่าสิ่งที่เค้าทำ มันใช่สิ่งที่ควรจะทำจริง ๆ หรือไม่
2. Commitment สัญญาต้องเป็นสัญญา
มีอยู่ 1–2 ครั้งที่ผมถูกถามว่าทำไมไม่ส่งงานตามเวลากำหนด ในใจตอนนั้นคือจริง ๆ ทำเสร็จแล้วครับ แต่เห็นว่าหัวหน้ายังไม่เรียกดู เลยคิดว่าจะทำต่อไปเรื่อย ๆ (มันเป็นงานเชิงความคิดสร้างสรรค์นิดนึง) จนกว่าพี่เค้าจะเรียกดู ค่อยว่ากัน
ตอนนั้นก็เลยตอบไปว่า
“เห็นพี่ยังไม่เรียกดู ก็เลยยังไม่ได้เอาให้ดูครับ”
หายนะอย่างที่ 2 ก็เลยเกิดขึ้น อยากบอกน้อง ๆ ทุกคนว่า ถ้าเรามีการพูดคุยงานเรื่องเวลาในการส่งงานที่กำหนดชัดเจน เราทำได้ 4 กรณีครับ
กรณีที่ 1 ทำงานเสร็จก่อนกำหนด และมั่นใจว่าทำได้ดีที่สุดแล้ว แบบนี้ควรส่งเลยครับ หัวหน้ามีคำถาม หรืออยากให้แก้ก็จะได้แก้ทัน แถมบวกคะแนนความขยันและรับผิดชอบให้แน่นอน
กรณีที่ 2 ทำงานเสร็จตามกำหนด อันนี้เราก็ส่งตามกำหนด อาจจะชวนหัวหน้าคุยต่อว่า ต้องปรับตรงไหนเพิ่มไหมยังไง ยังมีเวลาในการแก้ไหม ถ้าไม่แก้โอเคหรือยัง หัวหน้าแฮปปี้แน่นอน
กรณีที่ 3 ดูจากเวลาแล้วทำเสร็จไม่ทันชัวร์ แต่อาจจะต้องการเวลาเพิ่มอีกนิดนึง กรณีนี้ ****ห้ามส่งเลทแบบนั่งเงียบๆ หรือบอกวินาทีสุดท้ายเด็ดขาด**** สิ่งที่ควรทำคือ บอกหัวหน้าให้ไวที่สุดถ้าเรารู้แล้วว่าจะทำไม่ทัน แล้วบอกว่าต้องการเวลาอีกเท่าไหร่ เพื่อทำให้ทัน หัวหน้าจะไม่เซอร์ไพรส์ และอย่างน้อยก็ยังมีเวลาในการปรับแก้ไข หรือขยับ Timeline ต่าง ๆ ได้
กรณีที่ 4 ทำเสร็จไม่ทันชัวร์ มืดแปดด้าน ดูแล้วไม่รู้เลยว่าทำยังไงจะเสร็จ กรณีนี้เป็นไปได้ว่างานอาจจะไม่ตรงกับความถนัดเรา หรือยากเกินประสบการณ์และความรู้ คุณควรวิ่งไปหาหัวหน้าเพื่อปรึกษา และขอความช่วยเหลือ จำไว้ว่าหัวหน้าที่ดีเค้าจะคอยช่วยคุณ ปัญหายิ่งแก้ไวยิ่งดี และมันจะไม่ดีแน่ ถ้าคุณหมกไว้จนให้หัวหน้ามาถามเองว่า งานที่สั่งเมื่อไหร่จะเสร็จ ทำไมไม่บอกว่าเกิดอะไรขึ้น บอกเลยว่าชะตาคุณอาจจะขาดลงได้ทุกเมื่อครับ
3. Contribution สร้างตัวตนด้วยผลงาน
ข้อนี้อธิบายง่าย แต่ทำได้ค่อนข้างยาก คือการสร้างสิ่งที่ทำให้เพื่อนร่วมงานของคุณคิดว่า
ถ้าเป็นเรื่องนี้ ต้องเป็นเราเท่านั้น…
พออ่านแล้วอาจจะเข้าใจว่าเป็นเรื่องใหญ่ แต่อยากให้ทุกคนลองนึกเช่น
เพื่อนคนไหนตลกที่สุดในกลุ่ม
เพื่อนคนไหนทำงานกลุ่มโคตรเก่ง
เพื่อนคนไหนที่ถ้ามีปัญหาหัวใจแล้วต้องวิ่งไปปรึกษา
เชื่อว่าทุกคนต้องมีหน้าเพื่อนสักคนลอยเข้ามาตอนอ่านทันที ในเรื่องงานก็เช่นกันครับ สิ่งนี้เป็นเหมือนการสร้าง Branding หรือลายเซ็นส่วนตัว ที่ต้องแลกมาด้วยความทุ่มเท อาจจะเริ่มจากเรื่องเล็ก ๆ อย่างตอนผมเริ่มงานแรกที่ฝ่าย Marketing แต่จบทางด้าน Finance มา ทำให้ค่อนข้างจะแม่นเรื่องตัวเลข จนสุดท้ายใครในแผนกมีปัญหาเรื่องจะแบ่งจัดสรรงบยังไงดี สูตร excel ทำไมมันพัง หรือทำไมคำนวณไม่ตรง จะวิ่งมาหาผมเป็นคนแรก สิ่งนี้เป็นเหมือนเรื่องเล็ก ๆ ที่คอยช่วยให้เรามีตัวตนขึ้นมาในที่ทำงานครับ
หลายคนอาจจะนึกสงสัยว่า อ้าว แล้วถ้าในเนื้องานคนมานึกถึงเรา มันจะเป็นการแย่งหน้าแย่งตาหัวหน้าไหม
อยากบอกว่าไม่จริงเลยครับ และตรงกันข้ามด้วยซ้ำ เพราะหัวหน้ามีเรื่องต้องทำมากมายอยู่แล้ว การที่มีเราช่วยเป็นที่ที่คนนึกถึง แทนต้องวิ่งไปหาหัวหน้าหมด นั่นคือสิ่งที่หัวหน้าอยากจะให้คุณมาช่วยครับ และยังเป็นเครดิตหัวหน้าด้วยที่ทำให้คุณเก่งขึ้นขนาดนี้
การที่คุณเติบโต ไว้ใจได้ จนคนรู้สึกว่าวิ่งไปหาได้ เชื่อได้เลยว่าคุณผ่านโปรมาเกินครึ่งตัวแล้ว
และในทางกลับกัน ถ้าคุณทำงานมาสักพักแล้ว แต่ไม่มีงานไหนที่คนจะนึกถึงคุณเป็นคนแรกเลย มันจะต้องมีปัญหาสักอย่างแล้วล่ะครับ
4. Consistency ความสม่ำเสมอ
การทำงานเปรียบเสมือนการวิ่งมาราธอนที่ไม่รู้จบ วนเวียนไปข้ามวัน ข้ามเดือน ข้ามปี มีการสื่อสารใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นทุกวัน มีงานที่ต้องส่งมอบ และปัญหาเฉพาะหน้าใหม่ ๆ เข้ามาให้แก้ไขเสมอ
คุณจะทำยังไงให้หัวหน้าเชื่อมั่น ว่าคุณจะสื่อสารได้อย่างดี คุณจะส่งมอบงานได้ และคุณจะเป็นคนที่ช่วยแบ่งเบาภาระงานของเค้าได้แบบนี้ตลอดไป หรือตราบเท่าที่คุณยังอยู่ในตำแหน่ง
คำตอบคือความสม่ำเสมอนี่แหละครับ มันคือการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ ว่าคุณจะช่วยดูแลรับผิดชอบงานนั้นแทนได้ จนหัวหน้าคุณมีเวลาพอที่จะไปดูและหรือแก้ปัญหาสิ่งอื่นที่ใหญ่กว่า หรือมีผลกระทบที่สูงกว่า
ตอนเรียนคุณอาจจะมีวิชาที่อยากเท ได้ C ก็เอา วิชาไหนอยากเรียนก็ตั้งใจเอา A เอาเกรดมากลบ ๆ กันก็พอจะดูดีขึ้นมาได้
ตอนทำงานต่างกันตรงที่ถ้าคุณได้ A หัวหน้าจะไว้ใจคุณ แต่ถ้าคุณเท C D หรือ F ซักงาน บางครั้ง A อีกสิบตัว คุณก็อาจจะไม่ได้มีโอกาสทำ เพราะการทำงานไม่มีการสะสมแต้มบุญ ทุกสิ่งต้องส่งมอบอย่างดี ไปให้ผู้ร่วมงาน ไม่ว่าคุณจะชอบเนื้องานนั้นหรือไม่ก็ตาม
ถ้าหัวหน้าเริ่มพูดว่า เรื่องนี้พี่เชื่อว่าเราทำได้, เรื่องนี้พี่ฝากดูเลยนะ ติดอะไรมาบอกพี่ แปลว่าคุณเริ่มได้รับความไว้วางใจแล้วครับ แต่บอกเลยว่าถ้ามีเหตุการณ์ไหนที่ทำให้หัวหน้าสูญเสียความมั่นใจในตัวคุณ ส่วนตัวมองว่ายากมากที่จะเรียกความมั่นใจกลับคืนมาครับ
สรุป (TLDR)
ไม่มีใครทำงานเป็นตั้งแต่เกิด ยิ่งน้องจบใหม่ ประสบการณ์น้อย ๆ สิ่งที่พี่ ๆ มองหาไม่ใช่สกิลงานขั้นเทพแน่นอน แต่เป็น 4 ข้อนี้ครับ
- Communication การสื่อสารคือหัวใจ สื่อสารไม่ใช่ต้องพูดเก่ง แต่ต้องพูดคุย ทำความเข้าใจทั้งความคาดหวังของหัวหน้า เป้าหมายและวัตถุประสงค์ของงานให้ชัดเจน จนเราสามารถทำงานนั้นได้ตามมอบหมาย
- Commitment สัญญาต้องเป็นสัญญา ห้ามส่งงานช้าจากกำหนด ถ้าจะช้าต้องบอกล่วงหน้า บอกปัญหา และจัดการก่อนจะถึงวันกำหนดส่ง
- Contribution สร้างตัวตนด้วยผลงาน อย่าทำตัวเป็นแค่ Messenger (ผู้ส่งสาร) เท่านั้น เพิ่มคุณค่าด้วยการใส่ความคิดของเราลงไป รวมทั้งตั้งเป้าว่าถ้านึกถึงเรื่องนี้ ต้องนึกถึงเราเท่านั้น (ในเรื่องงานนะ) และ
- Consistency ความสม่ำเสมอ ในการส่งมอบข้อ 1–3 จนหัวหน้าเกิดความไว้วางใจ เพราะงานไม่ใช่เรียน ที่คุณจะเลือกทำแต่สิ่งที่คุณชอบได้
สรุปจากประสบการณ์ส่วนตัวไว้ได้ประมาณนี้ ใครมีอะไรแชร์กันได้นะครับ และถ้านึกอะไรออกจะมาเขียนเล่าอีกนะครับ
ขอบคุณทุกคนที่สละเวลาอ่านจนจบ อยากรู้จักกันมากขึ้น จิ้มมาได้ ที่นี่ ครับผม